(FWA 2025/12/22)สืบเนื่องจากเหตุการณ์ การโจมตีแบบสุ่ม ในไทเปเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม หน่วยงานภาครัฐไม่เพียงแต่ยกระดับการรักษาความปลอดภัยอย่างครอบคลุม แต่ยังเปิดใช้งานเครือข่ายสนับสนุนทางการแพทย์และจิตวิทยาไปพร้อมกัน เพื่อช่วยให้ประชาชนเข้าใจวิธีป้องกันตนเองเมื่อเกิดเหตุทำร้ายร่างกายแบบกะทันหัน สำนักข่าวของเราได้รวบรวมแนวทางการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินและการหนีเอาตัวรอดที่ใช้งานได้จริงจากคู่มือ “ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับการป้องกันตนเองของประชาชน” ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (NPA) เผยแพร่เมื่อเดือนกรกฎาคมปีนี้

ตามรายงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 19 ผู้ต้องหาสกุลจางได้วางแผนก่อเหตุในสถานที่ที่มีผู้คนหนาแน่น เช่น สถานีรถไฟฟ้าไทเปเมนสเตชั่น และย่านการค้านานซี (ใกล้ห้าง Eslite) ในเขตจงซาน โดยได้ขว้างระเบิดควันและใช้มีดไล่แทงผู้คนแบบสุ่ม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย (รวมถึงผู้ต้องหา) และบาดเจ็บ 11 ราย นับเป็นเหตุการณ์ความไม่สงบครั้งใหญ่ ตำรวจระบุว่าผู้ต้องหาจงใจเลือกช่วงเวลาเร่งด่วนในการก่อเหตุ และใช้วิธีการปลอมตัว วางเพลิง และสร้างควันเพื่อรบกวนการมองเห็น ขณะนี้ทีมสอบสวนพิเศษของอัยการและตำรวจกำลังเร่งตรวจสอบแรงจูงใจโดยละเอียดและตรวจสอบว่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดหรือไม่

เพื่อป้องกันเหตุการณ์เลียนแบบและปลอบขวัญประชาชน สภาบริหารได้ประสานงานกับกระทรวงต่างๆ เพื่อดำเนินมาตรการดังนี้:

ความปลอดภัยด้านตำรวจและการจราจร: สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้เพิ่ม “อัตราการพบเห็นตำรวจ” ทั่วประเทศ โดยระดมกำลังตำรวจและอาสาสมัครกว่า 17,000 นาย เพื่อดูแลความปลอดภัยในกิจกรรมขนาดใหญ่ 137 แห่งและศูนย์กลางการคมนาคมทั่วไต้หวัน หน่วยงานตำรวจยังได้เสริมสร้างขีดความสามารถของ “หน่วยปฏิบัติการพิเศษ (Rapid Reaction Force)” เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถระงับเหตุโจมตีได้ทันท่วงที กระทรวงคมนาคมได้กำชับให้ผู้ให้บริการรถไฟ รถไฟความเร็วสูง (HSR) และรถไฟฟ้า (MRT) เพิ่มความเข้มงวดในการลาดตระเวนสถานี และจัดซ้อมรับมือเหตุการณ์ไล่แทงคนแบบสุ่มอย่างสม่ำเสมอ

การสนับสนุนทางการแพทย์และจิตวิทยา:

  • หนึ่งเคส หนึ่งนักสังคมสงเคราะห์: กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ (MOHW) ได้เริ่มบริการดูแลผู้เสียหายแบบ “หนึ่งเคส ต่อหนึ่งนักสังคมสงเคราะห์” เพื่อจัดหาการสนับสนุนทางจิตใจ ความช่วยเหลือในการดำรงชีวิต และคำปรึกษาด้านกฎหมาย

  • คำปรึกษาฟรี: รัฐบาลได้ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและให้บริการ “คำปรึกษาทางจิตวิทยาฟรี 3 ครั้ง” (ใช้ได้ถึงสิ้นปี 2026) แก่พยานในที่เกิดเหตุ ผู้บาดเจ็บ และครอบครัวผู้เสียชีวิต ประชาชนทั่วไปที่รู้สึกวิตกกังวลจากเหตุการณ์นี้ สามารถโทรสายด่วนฟรี 24 ชั่วโมง “สายด่วนสุขภาพจิต 1925” หรือติดต่อศูนย์สุขภาพจิตชุมชนในแต่ละจังหวัด

  • ยาป้องกันโรค: เนื่องจากในจำนวนผู้บาดเจ็บมีผู้ติดเชื้อ HIV รวมอยู่ด้วย กรมควบคุมโรค (CDC) จึงได้เริ่มโครงการพิเศษ โดยประชาชนที่ได้รับการประเมินว่ามีความเสี่ยงสัมผัสเลือด สามารถรับยาต้านไวรัสฉุกเฉิน (PEP) ได้ฟรี ซึ่งจะมีประสิทธิภาพลดความเสี่ยงหากรับประทานภายใน 72 ชั่วโมงหลังสัมผัสเชื้อ

บทลงโทษรุนแรงสำหรับพฤติกรรมเลียนแบบ: กระทรวงยุติธรรมและสำนักงานอัยการเขตได้จัดตั้งทีมเฉพาะกิจเพื่อเร่งตรวจสอบผู้ที่เผยแพร่ข้อความข่มขู่บนอินเทอร์เน็ต (เช่น ขู่ว่าจะก่อเหตุที่สถานีรถไฟเกาสง) ขณะนี้ได้จับกุมผู้ต้องหาที่เผยแพร่ข้อความเลียนแบบแล้ว 3 ราย

เมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่คาดเดาไม่ได้ และอ้างอิงจากคู่มือการป้องกันตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติเคยเผยแพร่ แนะนำให้ประชาชนสังเกตตำแหน่งทางออกฉุกเฉินและอุปกรณ์ความปลอดภัยเมื่อเข้าสู่ที่สาธารณะ และจดจำกุญแจสำคัญในการเอาตัวรอดดังนี้:

1. กฎเหล็ก 3 ข้อ: หนี, ซ่อน, แจ้ง (Run, Hide, Tell)

  • หนี (Run): เมื่อพบอันตราย (เช่น การยิง หรือระเบิด) และมีเส้นทางปลอดภัย ให้ทิ้งสัมภาระและวิ่งหนีทันที อย่าลังเลหรือหันกลับมามอง

  • ซ่อน (Hide): หากหนีไม่ได้ ให้หาที่กำบังที่แข็งแรง (เช่น กำแพงหนา เสา) เพื่อซ่อนตัว ปิดเสียงโทรศัพท์มือถือ (รวมถึงระบบสั่น) ให้เงียบสนิท และอย่าให้คนร้ายรู้ตำแหน่ง

  • แจ้ง (Tell): โทรแจ้งตำรวจ 110 เมื่อมั่นใจว่าตนเองปลอดภัยแล้วเท่านั้น โดยระบุสถานที่ ลักษณะคนร้าย และอาวุธให้ชัดเจน

2. เทคนิคการรับมือในสถานการณ์ต่างๆ

  • เมื่อเจอคนใช้มีดไล่ฟัน: รีบถอยห่างจากผู้ถือมีด หากหนีหรือซ่อนไม่ได้ ให้ใช้สิ่งของรอบตัว (เช่น ร่ม กระเป๋า ถังดับเพลิง โน้ตบุ๊ก) เป็นโล่กำบัง หรือร่วมมือกับผู้อื่นเพื่อขัดขวาง โดยเน้นป้องกันศีรษะ คอ และอวัยวะสำคัญ

  • เมื่อเจอระเบิด: รีบออกจากที่เกิดเหตุและอาคารที่เสียหาย หลีกเลี่ยงวัตถุต้องสงสัยเพื่อป้องกัน “การโจมตีระลอกสอง” ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาด ให้ใช้บันไดหนีไฟ

  • เมื่อถูกจับเป็นตัวประกัน: ตั้งสติ อย่าขัดขืนหรือโต้เถียงกับคนร้าย หากตำรวจบุกเข้าช่วยเหลือ ให้รีบหมอบลงหรือทำตัวให้ต่ำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลูกหลง

3. จะสังเกตสัญญาณอันตรายได้อย่างไร?

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือนให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในที่สาธารณะ โดยสังเกตลักษณะที่น่าสงสัยดังนี้:

  • การแต่งกายผิดปกติ: สวมเสื้อคลุมยาวและหนาในอากาศร้อน (อาจซ่อนอาวุธ)

  • พฤติกรรมผิดปกติ: ท่าทางตื่นตระหนก พูดคนเดียว สายตาลอกแลก หรือจงใจหลบสายตา

  • สิ่งของผิดปกติ: กระเป๋าเดินทางหรือเป้ที่ไม่มีเจ้าของในที่สาธารณะ หรือสิ่งของที่มีกลิ่นหรือเสียงแปลกๆ

4. รู้จัก “ยันต์กันตาย” ในที่สาธารณะ: อุปกรณ์หนีไฟ

เมื่อเข้าสู่ที่สาธารณะ ควรสังเกตตำแหน่งอุปกรณ์เหล่านี้ เพราะอาจช่วยชีวิตคุณได้ในยามคับขัน:

  • อุปกรณ์แจ้งเหตุ: กริ่งเตือนไฟไหม้ โทรศัพท์ฉุกเฉิน อินเตอร์คอม

  • อุปกรณ์ช่วยหนีภัย: บันไดหนีไฟ บันไดลิงหรือรอกหนีไฟ ไฟฉุกเฉิน แผนที่เส้นทางหนีไฟ

  • อุปกรณ์ดับเพลิง: ตู้ดับเพลิงภายในอาคาร ถังดับเพลิง

5. จะออกจากจุดเกิดเหตุได้อย่างไร? ข้อควรระวังขณะอพยพ

เมื่อตัดสินใจหนี ทุกการกระทำมีความสำคัญอย่างยิ่ง:

  • ตั้งสติ อย่าห่วงทรัพย์สิน: นำเฉพาะสิ่งของจำเป็นติดตัวไป อย่าเสียเวลาเก็บทรัพย์สิน

  • วิธีการเคลื่อนที่ที่ถูกต้อง:

    • เดินเร็ว ห้ามวิ่ง: เพื่อป้องกันการหกล้มจากการตื่นตระหนก และควรช่วยเหลือคนชรา คนอ่อนแอ ผู้หญิง และเด็ก

    • ไปตามกระแสคน: อย่าเดินสวนกระแสฝูงชน เพื่อป้องกันการถูกผลักล้มและเหยียบกัน

    • ก้มต่ำชิดขอบ: อยู่ให้ห่างจากกระจก เกาะสิ่งยึดเหนี่ยวให้แน่น และเดินเลาะตามกำแพง

    • ห้ามใช้ลิฟต์: ห้ามใช้ลิฟต์เด็ดขาดเมื่อเกิดไฟไหม้หรือระเบิด ให้ใช้บันไดและปิดประตูหนีไฟตามหลังด้วย

  • การป้องกันตัวหากล้มลง: หากโชคร้ายถูกเบียดจนล้ม ให้ขดตัวเป็นลูกบอลใกล้มุมกำแพงหรือสิ่งค้ำยัน ประสานมือไว้ที่ท้ายทอยเพื่อป้องกันศีรษะและอวัยวะสำคัญ

หลังจากออกมาได้: อย่ากลับเข้าไปในที่เกิดเหตุ อย่าเผยแพร่ข่าวลือ ตรวจสอบความปลอดภัยของญาติมิตร และสงวนทรัพยากรฉุกเฉิน (เช่น เบอร์ 119) ไว้สำหรับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน อย่าโทรเข้าไปเพื่อสอบถามข้อมูลทั่วไป

แม้ไต้หวันจะเป็นประเทศที่มีความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายต่ำ แต่การมีความรู้ในการป้องกันตัวที่ถูกต้องจะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างแม่นยำในช่วงเวลาแรกของวิกฤต ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียให้น้อยที่สุด